| ในสมัยรัฐบาลของหม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 
                          ๒ ท่านคือ นายประมวล กุลมาตย์ และนายเปลื้อง พลโยธา ได้ยกร่าง 
                          พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย และร่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 
                          ขึ้นมาคนละ 2 ฉบับ เนื้อหาสาระ และหลักการยังคงเป็นเช่นเดียวกับฉบับที่ตกไป 
                          ในรัฐบาลก่อน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสองท่านได้เสนอร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว 
                          ต่อสภาผู้แทนราษฎร เนื่องจากเป็นร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวด้วยการเงิน 
                          รัฐบาลได้ขอรับร่างพระราชบัญญัตินี้ไปพิจารณาก่อน ภายในกำหนดเวลา 
                          ๖ เดือน ในขั้นตอนหาข้อมูลเพื่อประกอบพิจารณาของรัฐบาลนี้ 
                          สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีได้มีหนังสือลงวันที่ ๙,๑๐ และ 
                          ๑๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๑๙ แจ้งให้กระทรวงศึกษาธิการเสนอความเห็นเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ 
                          ทั้งสองแห่งของนายประมวล กุลมาตย์ และนายเปลื้อง พลโยธา 
                          
 กระทรวงศึกษาธิการได้มีคำสั่งที่ ๓๘๐/๒๕๑๙ ลงวันที่ ๘ 
                          สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่ง 
                          มีกรรมการมหาเถรสมาคมรูปหนึ่งร่วมเป็นกรรมการอยู่ด้วย 
                          เรื่องพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์จึงถูกส่งเข้าสู่การพิจารณาของมหาเถรสมาคม
 เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ มหาเถรสมาคมประชุมครั้งที่ 
                          ๒๑/๒๕๑๙ ได้พิจารณาร่าง พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง 
                          และได้มีมติตั้งคณะกรรมการ คณะหนึ่ง จำนวน ๑๕ ท่าน เพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะ
  ต่อมาในวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ นายประจวบ คำบุญรัตน์ 
                          รองอธิบดีการการศาสนา ได้เสนอความเห็นถวายมหาเถรสมาคมว่า 
                          สมควรยกร่างพระราชบัญญัติฉบับใหม่ในรูปของพระราชบัญญัติการศึกษาสงฆ์ที่มีเนื้อหาครอบคลุมการศึกษาสงฆ์ทุกระดับ  มหาเถรสมาคมได้ประชุมครั้งพิเศษในวันจันทร์ที่ ๒๗ กันยายน 
                          พ.ศ.๒๕๑๙ มีมติให้กรมการศาสนา ดำเนินการเกี่ยวกับร่าง 
                          พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์เสนอกระทรวงศึกษาธิการเพื่อตราเป็นพระราชบัญญัติต่อไป 
                          ต่อมาในวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ คณะปฏิรูปการปกครองได้ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลหม่อมราชวงศ์เสนีย์ 
                          ปราโมช การดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์จึงชะงักไป  ใน พ.ศ. ๒๕๒๐ สมัยรัฐบาลที่ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร 
                          เป็นนายกรัฐมนตรี ดร.ภิญโญ สาธร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 
                          เห็นว่า พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์ควรให้คณะสงฆ์ดำเนินการจัดทำ 
                          จึงมอบหมายให้กรมการศาสนา นำร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับการศึกษาของสงฆ์ทุกฉบับ 
                          ซึ่งรวมถึงร่างพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้งสองแห่ง 
                          เสนอมหาเถรสมาคมพิจารณาเลือก หรือแก้ไขเพิ่มเติมหรือร่างขึ้นใหม่เพียงฉบับเดียว  มหาเถรสมาคมได้พิจารณาในคราวประชุมครั้งที่ ๓/๒๕๒๐ เมื่อวันที่ 
                          ๓๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๐ มีมติเลือกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์ 
                          เพื่อดำเนินการต่อไป ในที่สุดมหาเถรสมาคมได้ประชุมครั้งที่ 
                          ๑๑/๒๕๒๐ เมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ รับหลักการและเสนอร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์ให้กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการ  กระทรวงศึกษาธิการได้นำร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้เสนอในการประชุมคณะรัฐมนตรี 
                          เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ คณะรัฐมนตรีมีมติรับหลักการแล้วส่งต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา 
                          คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาแก้ไขจากที่มหาเถรสมาคมร่างมา 
                          ๑๗ มาตรา เพิ่มเป็น ๒๗ มาตราแล้วส่งกลับมาที่มหาเถรสมาคม 
                          ที่ประชุมมหาเถรสมาคมพิจารณาเห็นว่ามีการแก้ไขมาก จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง 
                          จำนวน ๙ ท่านเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์ที่คณะกรรมการกฤษฎีกาแก้ไข 
                          ร่างพระราชบัญญัตินี้ค้างการพิจารณา ของมหาเถรสมาคมนานถึง 
                          ๓ ปี จนกระทั่งสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีหนังสือลงวันที่ 
                          ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ แจ้งกระทรวงศึกษาธิการว่า สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีหนังสือเตือนเรื่องการพิจารณา 
                          ร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งสงฆ์ ๒ ครั้งแล้วยังไม่ได้คำตอบ 
                          จึงเห็นสมควรระงับการพิจารณา   |